อาจารย์ครับผมรบกวนขอสูตรในการคำนวณหาค่าแรงดันเฟสทูเฟสไหนครับ ยกตัวอย่างเช่น แรงดันเฟส A 104 V แรงดันเฟส B 323 V แรงดันเฟส C 425 V ผมอยากทราบว่าถ้าจะคำนวณหาค่าแรงดันเฟสทูเฟส ต้องใช้สูตรไหนในการคำนวณครับอาจารย์ อย่างเช่น ผมต้องการจะคำนวณหาแรงดันเฟส A ทู เฟส B แรงดันเฟสทูเฟสมันจะมีแรงดันกี่โวลท์ ต้องใช้สูตรไหนในการคำนวณครับอาจารย์ รบกวนอาจารย์ขอสูตรด้วยครับ ขอบคุณมากครับผม
@@ChaichanPothisarn ขอบคุณครับอาจารย์ ผมก็เข้าใจมาตลอดว่ามันจะต้องไหลกลับไปหาแหล่งจ่ายของมันผ่านสายนิวตรอน เพราะผมก็เข้าใจมาตลอดว่าอิมพีแดนซ์ของสายนิวตรอนมันต่ำกว่าหลักดินและพื้นดิน แต่ทำไมวิศวกรหลายท่านและอาจารย์หลายท่าน อธิบายว่าค่าความต้านทานของหลักดินต้องไม่เกิน 5 โอห์ม เพื่อให้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินมันทำหน้าที่ตัดวงจรได้ มีหลายท่านยกตัวอย่างว่า ถ้าสมมุติว่ามีกระแสรั่วไหลจากโหลดและกระแสรั่วไหลลงสายกราวด์ที่ต่ออยู่กับโหลดในลักษณะที่สาย L แล้วส่วนที่ชำรุดแตะอยู่กับโครงโลหะของโหลด แล้วโครงโลหะของโหลดก็ต่ออยู่กับสายกราวด์อยู่ด้วย ในลักษณะที่เป็นการลัดวงจรระหว่างสาย L กับสาย G ถ้าหลักดินมีค่าความต้านทานต่ำกระแสที่ไหลผ่านสายกราวด์ก็จะเกินค่าพิกัดของเครื่องป้องกันกระแสเกิน จะทำให้เครื่องป้องกันกระแสเกินทำงานได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ มีอาจารย์บางท่านคำนวณกระแสที่ไหลผ่านสาย G ให้ดูด้วยนะครับ โดยเอาค่าความต้านทานของหลักดินที่ 5 โอห์ม ไปหารแรงดันไฟฟ้าที่ 230V แล้วอธิบายว่ากระแสที่ไหลผ่านสาย G ก็จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 A ถ้าเป็น MCB ขนาดเล็กที่ใช้ในบ้านพักอาศัยทั่วไปมันปลดวงจรอยู่แล้ว แต่ถ้าค่าความต้านทานของหลักดินมันสูงเกิน 5 โอห์ม จะทำให้เครื่องป้องกันกระแสเกินหรือ MCB ปลดวงจรช้าหรือไม่ปลดวงจรเลย มีอาจารย์บางท่านอธิบายแบบนี้ ผมก็เลยงงครับอาจารย์ว่ามันไปเกี่ยวอะไรกับค่าความต้านทานของหลักดิน ถ้ามันเกิดการลัดวงจรในลักษณะที่สาย L ลัดวงจรกับสาย G ไม่ว่าจะลัดวงจรกับสาย G ที่ต่ออยู่กับโหลด และไม่ว่าจะเป็นการลัดวงจรระหว่างสาย L กับสาย G ที่จุดไหนภายในอาคารบ้านเรือนก็ตาม ถ้าสายต่อหลักดินมันต่ออยู่กับสาย N และสายกราวด์หรือสายดินของบริภัณฑ์ไฟฟ้าหรือของวงจรย่อยต่างๆ มันจั้มออกมาจากบาร์กราวด์ ก็เท่ากับว่าสายกราวด์ของวงจรย่อยต่างๆและสายกราวด์ของบริภัณฑ์ไฟฟ้าในจุดต่างๆ มันก็เชื่อมต่ออยู่กับสาย N ดังนั้นถ้าเกิดการลัดวงจรกันระหว่างสาย L กับสาย G ที่จุดไหนก็ตาม มันก็เหมือนเป็นการลัดวงจรระหว่างสาย L กับ N เพราะสาย G มันต่อร่วมกับสาย N ผมเข้าใจแบบนี้ถูกต้องไหมครับอาจารย์
@pps.sks1985
2 жыл бұрын
@@ChaichanPothisarn เมื่อสาย G ขอวงจรย่อยต่างๆหรือสาย G ของบริภัณฑ์ไฟฟ้าในจุดต่างๆ มันจั้มออกมาจากบัสบาร์ G แล้วบัสบาร์ G ก็ต่อร่วมกับสาย N อยู่ด้วย เวลาพิจารณาค่าความต้านทานหรือพิจารณาค่าอิมพีแดนซ์ของสายกราวด์ มันก็ต้องพิจารณาบัสบาร์ G ไปจนถึงจุดที่เกิดการลัดวงจรระหว่างสาย G กับสาย L ไม่ใช่หรอครับอาจารย์ว่าระยะหรือความยาวของสาย G จากบัสบาร์ G ไปจนถึงจุดที่มันลัดวงจรกับสาย L ว่ามันมีค่าอิมพีแดนซ์มากน้อยขนาดไหน ผมเข้าใจถูกต้องใช่ไหมครับอาจารย์ว่าให้พิจารณาค่าอิมพีแดนซ์หรือค่าความต้านทานของสาย G จากช่วงความยาวและขนาดของสายดังกล่าวนี้ แต่ทำไมอาจารย์บางท่านให้ไปพิจารณาเรื่องค่าความต้านทานของหลักดิน ซึ่งสาย G และหลักดิน มันไม่ได้แยกอิสระจากสาย N นะครับ ทำไมอาจารย์บางท่านบอกให้พิจารณาค่าความต้านทานของหลักดิน ผมก็เลยสับสนในประเด็นนี้ครับอาจารย์ จริงๆแล้วมันต้องพิจารณาค่าความต้านทานหรือค่าอิมพีแดนซ์ของสาย G ของวงจรนั้นๆไม่ใช่หรอครับ ผมขอรบกวนเวลาอาจารย์สอบถามในประเด็นที่ผมสงสัยนี้ด้วยนะครับ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับอาจารย์ ขอบคุณครับอาจารย์
@ChaichanPothisarn
2 жыл бұрын
คำตอบข้อนี้คือ ถ้าพิจารณาจากตู้เมนของบ้านไปยังโหลด แบบที่ 1มีการต่อสาย N เข้ากับบัสสายดิน และเดินสายดินไปกับสาย L และ N (ระบบ TN-C-D) เมื่อเกิดลัดวงจรลงดิน กระแสลัดวงจรจะมีค่าเท่ากับแรงดันสาย Lเทียบกับดิน (230V) หารด้วย อิมพีแดนซ์ของสายดิน (ซึ่งต่ำมาก สมมติว่าเท่ากับ 0.5 โอหม์) กระแสลัดวงจรลงดินเท่ากับ 460A แบบที่ 2 มีการต่อสาย N เข้ากับบัสสายดิน แต่ไม่เดินสายดินไปกับ สาย L และ N แต่ไปต่อลงดินที่โหลด (ระบบ TT) เมื่อเกิดลัดวงจรลงดิน กระแสลัดวงจรจะมีค่าประมาณเท่ากับแรงดันสาย Lเทียบกับดิน (230V) หารด้วยค่าความต้านทานของการต่อลงดิน (สมมติว่า 5โอห์ม) กระแสลัดวงจรลงดินเท่ากับ 46A แบบที่ 1เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Type C ทริปทันทีเมื่อกระแสเกินพิกัด 5-10 เท่า) จะปลดวงจรทันที แบบที่ 2 เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Type C ทริปทันทีเมื่อกระแสเกินพิกัด 5-10 เท่า) จะไม่ปลดวงจรทันที
@ChaichanPothisarn
2 жыл бұрын
ถ้าเป็นการเดินสายดินจากตู้เมน ไปพร้อมกับสาย L และ N (ระบบ TN-C-S) กระแสลัดวงจรลงดินที่ผ่านเซอร์กิตเบรกเกอร์ของวงจรที่ลัดวงจร จะขึ้นอยู่กับ อิมพีแดนซ์ของสาย L บวกกับ อิมพีแดนซ์ของสายดิน แต่ถ้าไปต่อลงดินที่โหลด (ปักหลักดินที่โหลด ซึ่งเป็นระบบ TT ที่ประเทศไทยไม่ได้ใช้ และเป็นอันตรายมาก) กระแสลัดวงจรลงดินที่ผ่านเซอร์กิตเบรกเกอร์ของวงจรที่ลัดวงจร จะขึ้นอยู่กับ อิมพีแดนซ์ของสาย L บวกกับ อิมพีแดนซ์ของการต่อลงดิน
อาจารย์ครับ ผมมีเรื่องรบกวนจะสอบถามอาจารย์อีกแล้วครับ คำถามมีอยู่ว่า ถ้ามีการตอกหลักดิน ผมใช้หลักดินตามมาตรฐานเลย ก็คือมีความยาว 2.40 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5/8 นิ้ว ผมตอกหลักดินแล้ว แต่ผมไม่มีเครื่องมือวัดค่าความต้านทานของหลักดินที่เรียกว่า earth tester ผมจะใช้วิธีไหนวัดค่าความต้านทานของหลักดินได้บ้างครับ ผมวัดแรงดันเทียบกันระหว่าง L กับ N แล้ววัดแรงดันเทียบกันระหว่าง L กับ G แล้วเอา G มาแทน N แล้วต่อโหลด แล้วคำนวณจากแรงดันตกระหว่าง L กับ G ที่ต่อโหลดอยู่ได้ไหมครับ สมมุติว่าผมวัดแรงดันระหว่าง L กับ N ได้ 229 V ตอนยังไม่ได้ต่อโหลด แล้ววัดแรงดันระหว่าง L กับ G ได้แรงดันเท่ากันก็คือ 229 V แล้วผมก็เอาโหลดมาต่อระหว่าง L กับ G แล้วแรงดันระหว่าง L กับ G แรงดันมันดรอปลงเหลือ 223 V สามารถใช้สูตรไหนคำนวณหาค่าความต้านทานของหลักดินได้บ้างครับ อาจารย์มีสูตรคำนวณในกรณีนี้ไหมครับ คือเครื่องมือในการวัดค่าความต้านทานของหลักดินค่อนข้างจะราคาสูง ถ้าไม่ได้เดินระบบไฟฟ้าเป็นอาชีพ ถ้าลงทุนซื้อเครื่องนี้มาถ้าซื้อเครื่องวัดค่าความต้านทานของหลักดินมาก็คงจะต้องใช้เงินพอสมควร อาจารย์มีสูตรคำนวณไหมครับ ผมรบกวนอาจารย์ขอสูตรคำนวณด้วยครับ ขอบคุณครับอาจารย์
Пікірлер: 28