00:00 เริ่มต้น
00:14 กำไรขั้นต้น
00:32 รายได้ในงบการเงิน
01:02 ต้นทุนขายสินค้าหรือบริการ
01:39 การหากำไรขั้นต้น
01:54 การหาอัตรากำไรขั้นต้น
03:30 ความสามารถในการแข่งขัน
04:08 สรุป
ก่อนอื่นเราควรรู้จักกำไรขั้นต้นก่อน กำไรขั้นต้น (Gross Profit) จะบอกถึงว่าเราสามารถตั้งราคาให้สูงกว่าต้นทุนได้มากน้อยแค่ไหน
การคำนวณ คือ
กำไรขั้นต้น = รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ - ต้นทุนขายสินค้าหรือบริการ
Note ไว้นิดนึงก็คือ รายได้ในงบการเงิน จะมีอยู่ 2 ส่วน คือ “รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ” กับ “รายได้อื่น”
ตัวอย่างเช่น ถ้าขายโกโก้ปั่น
รายได้จากการขายก็จะมาจากการขายโกโก้ปั่น
ส่วนรายได้อื่น เช่น นำเงินจากธุรกิจไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่ได้รับจะถือเป็นรายได้อื่น
ในการคิดกำไรขั้นต้นจะคิดเฉพาะรายได้จากการขายเท่านั้น รายได้จากดอกเบี้ยที่เป็นรายได้อื่นจะไม่นำมาคิด
ต้นทุนขายสินค้าหรือบริการ (Cost of Goods Sold: COGS) คือ ต้นทุนตรงที่ใช้ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการนั้นๆ
เช่น ขายโกโก้ปั่น ต้นทุนขายมาจาก
1.วัตถุดิบ เช่น ผงโกโก้, น้ำตาล, นมข้น, นมสด, น้ำแข็ง ฯลฯ
2.ค่าแรงพนักงานทำการผลิต คือ ค่าแรงพนักงานที่ทำโกโกปั่นจะถือเป็นต้นทุนขาย แต่ถ้าเป็นพนักงานบัญชีซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำน้ำปั่นจะไม่นำมาคิด
3.ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรที่ใช้ผลิต เช่น เครื่องปั่นที่ใช้ปั่น เป็นต้น
การหากำไรขั้นต้น
ตัวอย่างเช่น รายได้จากการขายโกโก้ปั่น 50 บาท มีต้นทุนขาย 20 บาท
กำไรขั้นต้น = รายได้จากการขาย- ต้นทุนขาย = 50 - 20 = 30 บาท
การหาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) คือ การเปรียบเทียบกำไรขั้นต้นกับรายได้ ซึ่งคำนวณได้จาก
อัตรากำไรขั้นต้น (%) = (กำไรขั้นต้น x 100)/รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ
จากตัวอย่าง
อัตรากำไรขั้นต้น (%) = (กำไรขั้นต้น x 100)/รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ
= (30 x 100)/50 = 60%
อัตรากำไรขั้นต้น บอกได้ถึงความสามารถในการตั้งราคาได้ (Pricing Power)
เช่น ถ้าเกิดช่วงที่ราคาผงโกโก้สูงขึ้น จากเดิมต้นทุนขาย 20 บาท ขยับเป็น 25 บาท ถ้าไม่สามารถปรับราคาเพิ่มขึ้นได้ เพราะกลัวลูกค้าไม่ซื้อ กำไรขั้นต้นก็จะเหลือแค่ 25 บาท อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงจาก 60% เหลือ 50% แต่บริษัทไหนที่มี Pricing Power จะสามารถขึ้นราคาได้โดยที่ลูกค้ายังซื้อสินค้าหรือบริการเท่าเดิม แสดงถึงอำนาจต่อรองของบริษัทที่มีมากกว่าลูกค้า
หรือถ้าราคาผงโกโก้สูงขึ้น แต่บริษัทสามารถเจรจากับ Supplier ให้ขายวัตถุดิบราคาเดิมได้ เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้เท่าเดิม ก็จะแสดงถึงอำนาจต่อรองของบริษัทที่มีมากกว่า Supplier
บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน อาจจะแสดงถึงการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วย เพราะมีอำนาจต่อรองกับ Supplier และ/หรือลูกค้า มากกว่าคู่แข่ง
และในทำนองเดียวกันถ้าบริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้มีความสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้นได้ แสดงถึงความสามารถในแข่งขันระหว่างบริษัทกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งคู่แข่งเดิม คู่แข่งรายใหม่ รวมถึงสินค้าทดแทนด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องขายตัดราคาจนอัตรากำไรขั้นต้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ถ้าเราพิจารณา 5-Forces Model ก็จะเห็นว่าบริษัทที่สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้มีความสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้นได้จะมีความสามารถในการทนกับแรงกดดันทั้ง 5 ทั้งทางตรงและทางอ้อมเลย
สรุป อัตรากำไรขั้นต้น บอกถึงความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรม ความสามารถในการตั้งราคา ความสามารถในการบริหารต้นทุนการผลิต เราควรเลือกบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มสม่ำเสมอหรือถ้าเพิ่มสูงขึ้นได้ยิ่งดี
#หุ้น #ลงทุน #ลงทุนหุ้น #เล่นหุ้น #ซื้อหุ้น #กำไรขั้นต้น #หุ้นไทย #หุ้นปันผล #การลงทุน #สอนเล่นหุ้น #มือใหม่เล่นหุ้น #อัตราส่วนทางการเงิน #GrossProfit #อัตรากำไรขั้นต้น #GrossProfitMargin #invest #investing #investment #มือใหม่ลงทุนหุ้น #นักลงทุนป้ายแดง #โอ้เอ้อินเวส #OhAeWay
KZitem: / @ohaeway
Facebook: / ohaeway
TikTok: / ohaeway
X: x.com/OhAeWay
Негізгі бет รู้จักกำไรขั้นต้น และ อัตรากำไรขั้นต้น : มือใหม่ลงทุนหุ้น EP.17 | นักลงทุนป้ายแดง
Пікірлер