มาตรา 42 คู่ความมรณะ
หลักเกณฑ์ตามมาตรา 42
1️⃣ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีได้มรณะ
คำว่า “คู่ความ” ตามมาตรา 42 หมายถึงเฉพาะ “ตัวความ” เท่านั้น ไม่ได้ยึดตามความหมายในมาตรา 1 (11) กล่าวคือ ไม่รวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทน ผู้รับมอบอำนาจ หรือทนายความตาย
ข้อสังเกต
หากเป็นกรณีร้องขอกันส่วนตามมาตรา 287 (เดิม) จำเลยไม่ได้เป็นคู่ความแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ ดังนั้น แม้จำเลยตาย ก็ไม่ใช่คู่ความมรณะตามมาตรา 42
2️⃣ มรณะก่อนศาลมีคำพิพากษา
กรณีตามมาตรา 42 เป็นกรณีที่คู่ความฟ้องคดีกันก่อนแล้วมีคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาเท่านั้น หากเป็นกรณีผู้ถูกฟ้องคดีตายก่อนถูกฟ้อง ไม่ใช่กรณีมาตรา 42 แต่เป็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะฟ้องผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลในขณะยื่นคำฟ้อง
3️⃣ ต้องเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล
คำว่า “คดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล” ย่อมหมายความรวมถึงทุกขั้นตอนของคดีก่อนคดีจะเสร็จออกไปจากศาลโดยเด็ดขาด เช่น คู่ความตายก่อนวันชี้สองสถาน ก็อยู่ในบังคับที่ศาลต้องสั่งตามมาตรา 42 และการที่คู่ความมรณะในระหว่างคดีค้างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 หมายความรวมถึง มรณะในช่วงระยะเวลาอุทธรณ์หรือระยะเวลาฎีกาด้วย
ข้อสังเกต : กรณีในชั้นบังคับคดีที่ไม่มีการโต้แย้ง ไม่มีคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ ดังนั้น หากคู่ความมรณะในชั้นบังคับคดี ไม่ต้องด้วยมาตรา 42 ไม่ต้องขอเข้าแทนที่คู่ความผู้มรณะ สามารถบังคับคดีได้เลย (ฎีกาที่ 604/2549)
4️⃣ วิธีที่จะเข้ามาแทนที่คู่ความผู้มรณะ มีได้ 2 วิธี
1) บุคคล 3 จำพวก ได้แก่ (1) ทายาท (2) ผู้จัดการมรดก (3) ผู้ปกครองทรัพย์มรดก ยื่นคำร้องขอเข้ามาแทนที่ผู้ตายเอง
2) คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้ศาลเรียกเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้ตาย โดยคำร้องขอนี้ต้องยื่นภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นมรณะ
5️⃣ การพิจารณาคดีของศาล
เมื่อคู่ความมรณะในขณะที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาล ศาลจะต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาไปจนกว่า ทายาทของผู้มรณะ หรือผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้มรณะ หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกไว้ จะได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ หากศาลมีการพิจารณาคดีต่อไปโดยฝ่าฝืนมาตรา 42 นี้ ย่อมเป็นกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ แต่อย่างไรก็ดี หากศาลไม่ทราบว่าคู่ความมรณะแล้วได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ถือว่าศาลได้กระทำโดยชอบแล้ว
มาตรา 142 คำพิพากษาไม่เกินคำขอ
คำพิพากษาต้อตัดสินทุกข้อหา
คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาตามคำฟ้องทุกข้อ หากศาลชั้นต้นมิได้ตัดสินตามข้อหาทุกข้อหา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วส่งสำนวนคืนไปให้พิพากษาใหม่ตามมาตรา 243 (1) อำนาจดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์
หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ ศาลอุทธรณ์ก็สามารถวินิจฉัยไปได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน (ฎ. 2596/44, 1413/44)
อย่างไรก็ตาม มาตรา 142 มิได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องวินิจฉัยประเด็นตามคำฟ้องทั้งหมด หากศาลเห็นว่าประเด็นใดแม้วินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปก็อาจใช้ดุลพินิจไม่วินิจฉัยให้ได้ อันเป็นอำนาจทั่วไปของศาล (ฎ. 5657/44, 1047/46)
ข้อยกเว้น
ให้ศาลพิพากษาเกินคำขอได้ (มาตรา 142(1)-(6))
ในคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ศาลจะมีคำสั่งขับไล่จำเลยตามมาตรา 142(1) ได้ นั้น ต้องสั่งไว้ในขณะมีคำพิพากษาด้วย
(ฎ. 2809/27)
ในคดีร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน หากมีผู้คัดค้านเข้ามาก็ถือว่าเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์จากผู้คัดค้าน มาตรา 142(1) เมื่อศาลพิพากษาให้ผู้ร้องชนะดี ศาลพิพากษาให้ขับไล่ผู้คัดค้านได้ (ฎ. 1059/27)
แต่ในคดีที่ฟ้องห้ามจำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ไม่ใช่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่อาจบังคับบริวารของจำเลยได้ (ฎ. 3217/22)
Негізгі бет สรุปบรรยายเน ภาคค่ำ 2/76 วิ.แพ่ง ข้อ 1-2 วิชา วิ.แพ่ง ภาค 1 EP 3 อ.ปีติ นาถะภักติ
Пікірлер