ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์#หลวงปู่เหรียญวรลาโภ #พระพุทธเจ้า#คติธรรม
..................................................................................
สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าใจไม่ได้ด้วยการฟัง การอ่าน การคิด ฉะนั้นมาฟังหลวงพ่อเท่าไรๆ มันไม่รู้เรื่องหรอก เหมือนหลวงพ่อตอนยังไม่ได้บวช ตอนเป็นโยมตั้งแต่เด็กๆ พยายามอ่าน พยายามฟัง พิจารณาคิดเอาอะไรอย่างนี้ ไม่เข้าใจ มีเรื่องให้สงสัยไปเรื่อยๆ มาภาวนาเข้ามาถึงจิตถึงใจ จะหมดสงสัยได้ ทีแรกก็อาศัยตำรับตำรา อาศัยฟังครูบาอาจารย์ ก็ได้หลักการปฏิบัติ ค่อยๆ เข้าลู่ทาง เข้าร่องเข้ารอย
อย่างรุ่นของเรานี้ ครูบาอาจารย์ที่เขียนหนังสือไว้ชั้นเลิศ หลวงพ่อเห็นมีอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งความรู้ท่านกว้างขวางเหมือนมหาสมุทร คือท่านอาจารย์ ปยุต สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) เจอท่าน เรียกท่านอาจารย์จนชิน องค์นี้ความรู้กว้างขวาง หาใครเปรียบเทียบยาก อีกองค์หนึ่ง สุดยอดไปอีกข้างหนึ่ง คือท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเจ้าคุณปยุตนั้นท่านอธิบายธรรมะกว้างขวาง ไม่มีประมาณเลย ท่านพุทธทาสท่านย่อธรรมะที่กว้างขวางลงมาเหลือนิดเดียว มาจับแก่นจับใจความของศาสนาพุทธ ท่านน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่พูดถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา ของสิ่งที่เป็นหัวใจจริงๆ คือประโยคที่ว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
เมื่อก่อนอ่านของท่านอาจารย์ปยุต เราก็ไม่เข้าใจ อ่านของท่านพุทธทาสก็ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร นู่นก็ไม่ยึด นี่ก็ไม่ยึด ฉะนั้นความรู้ความเข้าใจในศาสนาจริงๆ ได้ครูบาอาจารย์ที่เลิศที่สุดในยุคนี้ 2 ท่านนี้ เราก็ยังไม่เข้าใจ มาภาวนา มาเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้เข้ามาที่ใจของตัวเอง มาเรียนรู้ไป พอเข้าใจจิตใจตัวเองเป็นลำดับๆ ไป มันก็เห็นเลยว่า จิตมันมีความทุกข์เพราะมันมีความอยาก เพราะมันมีความยึด เพราะมันมีความดิ้นรน
มีอยากก็คือมีตัณหา มียึดก็คือมีอุปาทาน มีความดิ้นรนคือมีภพ แล้วมันก็หยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมาเป็นตัวเรา เป็นของเราขึ้นมา ตัวนี้เป็นตัวชาติ พอภาวนาดูจากของจริง มันก็จะเห็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านแต่งตำราไว้ ท่านสอนไว้นั้นถูกต้อง ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ถ้าเราไม่เห็นสภาวะด้วยตัวเราเอง เราได้แต่จำ แต่เราไม่ได้เข้าใจ ฉะนั้นธรรมะนี่อ่านเอา ฟังเอา คิดเอาอะไรนี่ มันได้ความรู้ขั้นต้น แต่ที่จะรู้ถ่องแท้ถึงขนาดลดละความยึดถือได้ หรือทำลายความยึดถือได้ ต้องภาวนา
การภาวนาจะเริ่มต้นอย่างไรดี การภาวนามันมี 2 ส่วน ส่วนของสมถกรรมฐานกับส่วนของวิปัสสนากรรมฐาน
สมถกรรมฐาน จิตสุข จิตสงบมีเรี่ยวมีแรง
สมถกรรมฐานมีหลักง่ายๆ นิดเดียว อยากให้จิตสงบมีเรี่ยวมีแรง ก็อย่าให้จิตมันฟุ้งซ่านไป จิตที่ฟุ้งซ่านคือจิตที่จับอารมณ์อันนั้นที จับอารมณ์อันนี้ที เราจับอารมณ์อันนั้นที จับอารมณ์อันนี้ที จิตมันก็ฟุ้งซ่านไปหาอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันฟุ้งไปอย่างนั้น มันไม่สุข ไม่สงบ ทีนี้ถ้าเราอยากให้จิตมันสุข ให้จิตมันสงบ เราก็อยู่ในอารมณ์อันเดียวได้ ไม่วิ่งวุ่นวายเหมือนหมาขี้เรื้อน วิ่งไปที่นู่นวิ่งไปที่นี่เรื่อยๆ
เราเลือกอารมณ์ที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข มีความสงบ สบายใจอยู่กับอารมณ์อันไหน เราก็อยู่กับอารมณ์อันนั้น อยู่กับพุทโธแล้วมีความสุข เราอยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจแล้วมีความสุข เราก็อยู่กับลมหายใจ พอจิตมันได้อารมณ์ที่มีความสุข มันเหมือนเด็กได้ของอร่อย ได้ของชอบ เด็กก็ไม่ไปวิ่งซนนอกบ้าน เด็กก็อยู่ในบ้าน มีอารมณ์ที่มีความสุข อย่างมันชอบกินไอศกรีม เอาไอศกรีมมาล่อมัน มันก็กินไอศกรีมอยู่ที่บ้าน ไม่วิ่งซนออกไปนอกบ้าน มันชอบอะไรก็เอาสิ่งนั้นมาล่อมัน จิตเรามันเหมือนเด็กนั่นล่ะ เราหาสิ่งที่ถูกอกถูกใจมาล่อมัน พอมันอยู่กับอารมณ์ที่ชอบใจ มันก็ไม่วิ่งไปหาอารมณ์อื่นๆ ที่มันวิ่งไปหาอารมณ์โน้นอารมณ์นี้ก็เพราะมันอยากได้อารมณ์ที่ชอบใจ พอมีอารมณ์ชอบใจมีความสุข มันก็จะพอใจ อารมณ์ในโลก วิ่งหาเท่าไหร่มันก็ไม่มีหรอกที่จะมีความสุขที่แท้จริง แต่อารมณ์กรรมฐานมี
อย่างถ้าเราทำอานาปานสติ เราหายใจไปอย่างนี้ จิตใจเรามีความสุข ความสงบ ความสบาย ให้อยู่ทั้งชาติก็อยู่ได้ มันไม่เหมือนอารมณ์ทางโลก อยู่ประเดี๋ยวประด๋าวก็เบื่อ ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักเลือกอารมณ์ ดูตัวเอง ไม่ได้ดูเพื่อน ไม่ได้ดูครูบาอาจารย์ว่าท่านใช้กรรมฐานอะไร เราดูว่าอะไรเหมาะกับเรา ตัวนี้เป็นสัมปชัญญะตัวหนึ่ง รู้ว่าอะไรสมควรแก่เรา อะไรเหมาะกับเรา เป็นปัญญา ปัญญาขั้นต้นๆ นี้พอเราอยู่กับอารมณ์ที่มีความสุข มีความพอใจ จิตใจก็ไม่หิวอารมณ์ เที่ยววิ่งร่อนเร่ไปเรื่อยๆ มันก็มีความสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
สมถกรรมฐาน ก็คือการที่จิตมันไปสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวโดยไม่ได้บังคับ ถ้าบังคับให้มันอยู่ในอารมณ์อันเดียว มันไม่มีความสงบสุข มันจะเครียด มันจะเครียดขึ้นมา อย่างคนส่วนใหญ่นั่งภาวนา ใจมันจะเครียด เครียดเพราะว่าไปบังคับจิตให้อยู่กับอารมณ์อันนี้ ไม่ให้มันหนีไปที่ไหน กรรมฐานไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอก ไม่ได้ทำให้เคร่งเครียด รู้จักตัวเองว่าสมควรกับอารมณ์ตัวไหน แล้วก็ใช้อารมณ์ตัวนั้น จิตใจมีความสุข จิตใจก็ไม่หนีไปไหนเองล่ะ สบายๆ อยู่อย่างนั้น บางทีหายใจเพลิน อยู่ไปเกือบสว่าง หรืออยู่ไปจนสว่างเลย ใจมันสงบ ใจมันสบาย มีความสุข ไม่วิ่งซ้าย วิ่งขวา วิ่งข้างบน ข้างล่าง ไปอดีต ไปอนาคตอะไรอย่างนี้ ไม่ไป นี้หลักของสมถกรรมฐาน ก็มีเท่านี้ล่ะ
ส่วนอารมณ์ของสมถกรรมฐาน มีมาก ไม่มีประมาณ ใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้ เช่น พวกคำบริกรรมทั้งหลาย พุทโธ นะ มะ พะ ทะ สัมมา อะระหังอะไร พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ อะไรได้ทั้งนั้น
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม
อีกชนิดหนึ่งคือการทำวิปัสสนากรรมฐาน การจะทำวิปัสสนากรรมฐานได้ ขั้นแรกต้องหัดเห็นสภาวธรรมก่อน เพราะวิปัสสนากรรมฐานมันเป็นการเห็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ก่อนที่จะไปเห็นไตรลักษณ์ของรูปของนามได้ ต้องเห็นรูปเห็นนามได้ก่อน เราต้องหัดแยกสภาวะให้ออก เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นแรกที่เราจะเดินไปสู่วิปัสสนา
Негізгі бет อมรมจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ หลวงปู่เหรียญวรลาโภ
Пікірлер