เมื่อเวลา 13.56 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ และเริ่มอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ กกต. ยื่นคำร้องให้วินิจฉัยกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี ว่าจะทำให้พ้นจากสมาชิกภาพ สส.หรือไม่ โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาอ่านคำวินิจฉัยทั้งหมดประมาณ 40 นาที โดยไล่ไปทีละประเด็น ซึ่งก็ต้องบอกว่าในประเด็นการวินิจฉัยแรก ๆ ของศาลรัฐธรรมนูญ หลายคนก็อาจจะคิดว่านายพิธาไม่น่าจะรอด
ประเด็นแรก เรื่องการถือหุ้นไอทีวี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ก็ชี้ว่า นายพิธา ถือหุ้นไอทีวีอยู่จริงในวันที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ที่นายพิธา มีชื่ออยู่ลำดับที่ 1 ในบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล
ประเด็นที่สอง เรื่องการครอบงำกิจการของบริษัทไอทีวี
ประเด็นนี้นายพิธา ต่อสู้ว่า การถือหุ้นดังกล่าวไม่ได้มีอำนาจเข้าไปครอบงำกิจการของบริษัทไอทีวี เนื่องจากถือหุ้นเพียง 42,000 หุ้น จาก 1,200 ล้านกว่าหุ้น คิดเป็น 0.00348% เท่านั้น
ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไม่ให้นักการเมืองถือหุ้นสื่อ เพราะไม่ต้องการให้เป็นช่องทางในการใช้สื่อเพื่อแสวงประโยชน์ โดยไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีกี่หุ้น ดังนั้นแม้จะถือหุ้นเพียงหุ้นเดียวก็ถือว่าถือหุ้น และเป็นข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ
ประเด็นที่สาม ในวันสมัคร สส. นายพิธา เป็นเจ้าของหุ้นเองหรือไม่
นายพิธา สู้ว่าเป็นการถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่หุ้นของตัวเอง
แต่จากการพิจารณาเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ศาลรัฐธรรมนูญ ลงความเห็นว่า นายพิธา เป็นเจ้าของหุ้นด้วย โดยแม้นายพิธาจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดก แต่ในอีกด้าน นายพิธา ก็เป็นทายาทที่มีสิทธิในมรดกทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงหุ้นไอทีวีด้วย
และศาลฯ ยังระบุด้วยว่าการที่นายพิธา อ้างว่า ที่ไม่สามารถโอนหุ้นได้ก่อนหน้านี้ เพราะ หุ้นไอทีวีถูกสั่งให้ยุติการซื้อขาย ถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ความจริง สามารถดำเนินการโอนได้
แต่แม้ว่าใน 3 ประเด็นแรก ดูเหมือนข้อโต้แย้งของนายพิธา จะฟังไม่ขึ้น แต่เมื่อเข้าสู่ข้อพิจารณาประเด็นที่ 4 ว่า บริษัทไอทีวียังประกอบกิจการสื่ออยู่หรือไม่ ก็ทำให้คดีพลิกเป็นอีกด้าน
กรณีนี้ทาง กกต.อ้างตามวัตถุประสงค์การประกอบกิจการของบริษัทไอทีวี และเห็นว่าบริษัทไอทีวียังประกอบกิจการสื่ออยู่ ขณะที่ นายพิธา ต่อสู้ว่า บริษัทไอทีวีถูกยกเลิกสัญญาในการประกอบการกิจการสื่อตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2550 และยกความเห็นของนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2566 ที่ยืนยันว่าปัจจุบันไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ และไม่ได้มีรายได้จากการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อ
ในประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า การพิจารณาว่าประกอบกิจการสื่อหรือไม่ ไม่สามารถพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องพิจารณาการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ควบคู่ไปด้วย
ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฎว่า ไอทีวีฯ ได้ยุติกิจการ และอยู่ระหว่างข้อพิพาทคดีกับสำนักปลักสำนักนายกรัฐมนตรี หลังเคยมีสัญญาร่วมกัน ตั้งแต่ปี 2538 เป็นระยะเวลา 30 ปี แต่ 7 มีนาคม 2550 สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี บอกเลิกสัญญา และบริษัทไอทีวีฯ ก็ได้แจ้งไปยังสำนักงานประกันสังคมแล้วว่า ได้หยุดกิจการชั่วคราว ตั้งแต่ 8 มีนาคม 2550 จนถึงปัจจุบัน
โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย 1 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (ว่าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ) ที่เห็นว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98 (3)
ทั้งนี้ ก่อนอ่านคำวินิจฉัย นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการแจ้ง 2 เรื่อง ให้คู่กรณีทราบว่า
1. คดีนี้ นายพิธา ผู้ถูกร้องได้มีการขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหา 2 ครั้งด้วยกัน รวมเป็นเวลา 60 วัน ซึ่งศาลอนุญาต คดีนี้ควรจะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ก่อน 60 วันที่แล้ว จึงขอทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าศาลล่าช้า
2. เรื่องที่มีการไปแสดงความเห็นเกี่ยวกับคดีในสื่อต่างๆ ถือว่าเป็นการไม่สมควรและไม่เหมาะสม เพราะการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เกี่ยวกับคดีก่อนศาลวินิจฉัย อาจเป็นการชี้นำ กดดันศาล จึงขอเตือนว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ : ch3plus.com/ne...
-------------------------
รายการ #เรื่องเด่นเย็นนี้
เรื่องเด่นเย็นนี้ วันที่ 24 มกราคม 2567
ออกอากาศ ทุกวันจันทร์ - ศุกร์
ทางช่อง 33 HD เวลา 16.30 - 18.00 น.
ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารก่อนใครได้ที่นี่
ch3plus : www.3plusnews.com
facebook : / 3plusnews
Twitter : / 3plusnews
KZitem : / 3plusnews
TikTok : / 3plusnews
Негізгі бет ย้อนมหากาพย์คดีหุ้นไอทีวี 'พิธา' หลังศาลรธน.วินิจฉัย ไม่ใช่สื่อ
No video
Пікірлер: 308