Update Port วันที่ 3/5/24 หลังจากที่ซื้อหุ้นตัวแรกไปเมื่อเดือน ก.พ. ผ่านไป 2 เดือน หุ้นที่เราสนใจราคาก็ตกลงมาอยู่ในจุดที่เราคิดว่าเหมาะสมแล้ว ในวันที่ 26/4/24 เราจึงตัดสินใจซื้อหุ้นตัวที่ 2 เราขอเรียกว่าหุ้นสีชมพู
การพิจารณาซื้อหุ้นสีชมพูก็ใช้หลักตามที่เคยทำคลิปใน Playlist นักลงทุนป้ายแดง EP ที่ชื่อ
“วิธีเลือกหุ้นเลือกหุ้นพื้นฐานดีด้วยปัจจัยเชิงคุณภาพ” • วิธีเลือกหุ้นพื้นฐานดี...
และ “วิธีเลือกหุ้นเลือกหุ้นพื้นฐานดีด้วยปัจจัยเชิงปริมาณ” • วิธีเลือกหุ้นพื้นฐานดี...
ใครยังไม่ได้ดูก็สามารถไปดูได้นะ
นอกจากนั้นเหตุผลหลักๆ ที่เราตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนี้มาจาก
1. ประเมินว่าหุ้นตัวนี้ราคาต่ำกว่ามูลค่า
เราประเมินว่าหุ้นตัวนี้ราคาตกลงไปมากกว่าที่ควรจะเป็น จากกราฟย้อนหลังตั้งแต่ปี 2017 จะเห็นว่าช่วงที่หุ้นมี P/E ต่ำสุด คือช่วง COVID-19 P/E ประมาณ 24 เท่า ราคาหุ้นต่ำสุดตอนนั้นคือ 9 บาท ในปี 2022 ราคาก็ไปที่ประมาณ 16 บาทได้สอดคล้องไปกับกำไรที่เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้ปี 2024 มีกำไรมากกว่าปี 2022 หุ้นยังซื้อขายที่ P/E ประมาณ 21 เท่าอยู่ ในขณะที่เพื่อนในอุตสาหกรรมเดียวกันยังซื้อขายที่ P/E มากกว่า 30 เท่า และปันผล (ณ ราคาที่ซื้อ) ประมาณ 3.9% เราว่าราคาตรงนี้เรารับได้
2. EPS (Earning Per Share) หรือ กำไรสุทธิต่อหุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อาจมีช่วง COVID ที่สะดุดบ้าง แต่ภาพรวมคือเติบโตขึ้น
3. อัตรากำไรขั้นต้นมีความสม่ำเสมอ
อัตราส่วนทางการเงินที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ “อัตรากำไรขั้นต้น” ถ้าเราดูงบการเงินย้อนหลังเราจะเห็นว่าท่ามกลางคู่แข่งที่มีมากขึ้น หุ้นตัวนี้ก็ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้มีความสม่ำเสมอได้อยู่ ซึ่งแสดงถึงอำนาจต่อรองของบริษัทที่น่าจะมีความใกล้เคียงกันหรือมีมากกว่ากับทั้ง Supplier และ/หรือ ลูกค้า
4. อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนค่อนข้างต่ำ (Interest Bearing Debt to Equity Ratio : IBD/E)
ถึงแม้ว่า D/E (อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน: Debt to Equity Ratio) จะอยู่ที่ 1.7 เท่า แต่ถ้าคิดเฉพาะอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนปี 2566 อยู่ที่ 0.7 เท่า ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
และถ้าไปดูที่เรื่องความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ที่กำลังจะครบอายุในปี 67 นี้ ก็พบว่ามีหุ้นกู้ 1 ชุด จะครบกำหนดในเดือน ต.ค. 67 จำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเราไปดูว่าแล้ว 2 ชุดแรกที่ออกไปเมื่อต้นปีจำนวน 2,000 ล้านบาทขายหมดไหม ก็พบว่าขายได้หมด และคิดว่าในช่วงปี 67-69 ที่เหลือบริษัทก็น่าจะสามารถขายหุ้นกู้ได้หมด ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการผิดนัดชำระ เพราะกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 8-9 พันล้านบาท/ปี ซึ่งก็มีมากเพียงพอ
และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เราเลือกซื้อหุ้นตัวที่สอง (สีชมพู) เข้าพอร์ต
หลังจากที่งบการเงิน Q1/2567 ของหุ้นสีชมพูออกแล้วก็พบว่า EPS (Earning Per Share) หรือ กำไรสุทธิต่อหุ้น เพิ่มขึ้นประมาณ 6% Year on Year (Year on Year หรือ YoY เป็นการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างไตรมาสเดียวกันของปีปัจจุบันเทียบกับปีที่ก่อนหน้า) เนื่องจากบริษัทได้รับประโยชน์จาก Easy E-Receipt เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามผลประกอบการที่ดีขึ้น
สรุปพอร์ต ณ วันที่ 3/5/24 ตอนนี้หุ้นสีชมพูกำไร 2.77% หุ้นสีเหลืองขาดทุน 5.49% ทั้งพอร์ตขาดทุนอยู่ 1.78%
และมีเงินสดที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเหลืออยู่ 178.55 บาท
#หุ้น #ลงทุน #ลงทุนหุ้น #เล่นหุ้น #ซื้อหุ้น #invest #ออมหุ้น #โอ้เอ้ออมหุ้น #โอ้เอ้อินเวส #OhAeWay
KZitem: / @ohaeway
Facebook: / ohaeway
TikTok: / ohaeway
X: / ohaeway
Негізгі бет ออมหุ้น EP.2 : หุ้นตัวที่ 2 | โอ้เอ้ออมหุ้น
Пікірлер: 10