“If” … ศิลปิน Bread อัลบั้ม Manna ปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) …
คำว่า “If” ภาษาอังกฤษ หากแปลเป็นภาษาไทยแล้วทั่วไปเราจะเข้าใจว่า “ถ้า” … แล้วคำว่า “ถ้า” แปลว่าอะไร? หากจะให้ตอบความหมายของมันอย่างชัดเจน โดยส่วนตัวแล้วคงยากที่จะตอบ (ด้วยความเคยชินที่ใช้กันเป็นอัตโนมัติ จนลืมนิยามหรือคำจำกัดความของมันไป) แต่ที่แน่ๆ มันแสดงถึง “ความคาดหมาย คาดคะเน หรือข้อแม้ เงื่อนไข” อะไรบางอย่างประมาณนั้น … ตามหลักไวยกรณ์วิชาภาษาไทย (ซึ่งจริงๆ ลืมไปหมดแล้ว) “ถ้า” เป็นคำที่จัดอยู่ในกลุ่มของคำที่เรียกว่า “คำสันธาน” (เอากันจริงๆ? … หลายคนเกิดคำถามต่อแน่ๆ ด้วยว่าก็ลืมไปแล้วว่าคำสันธานคืออะไร?) … หน้าที่ของ “คำสันธาน” มีไว้เพื่อเชื่อมถ้อยคำให้มีเนื้อหาเพื่อแสดงความคล้อยตาม ความขัดแย้ง เหตุผล หรือทำให้ประโยคมีความสละสลวยขึ้น … “ถ้า” หรือ “If” เป็นหนึ่งในคำนั้น …
บทเพลง “If” ซึ่งประพันธ์ขึ้นโดยนักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน David Gates ซึ่งได้รับความนิยมในนามผลงานของกลุ่มศิลปินคือ “Bread” (ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “ขนมปัง” นั่นแหละ) วงดนตรีแนว soft rock สัญชาติอเมริกัน ซึ่ง David Gates เป็นหนึ่งในสมาชิกและผู้ก่อตั้งวง … โดย “If” เป็นหนึ่งในบทเพลงที่บรรจุอยู่ใน album ชื่อว่า “Manna”ซึ่งเป็น studio album ลำดับที่ 3 ของวง ซึ่งวางแผงในปี 1971 … “If” เคยขึ้นติด chart U.S. Billboard Hot 100 ในอันดับที่ 4 ในปีที่ออกอัลบั้ม และขึ้นสู่อันดับ 1 นานติดต่อกัน 3 สัปดาห์ใน U.S. Easy Listening chart …
บทเพลงนี้มีความโดดเด่นด้วยประโยคท่อนเปิดของเพลง “If a picture paints a thousand words …” (ถ้าภาพหนึ่งภาพจะแทนคำพูดได้นับพัน …) แน่นอนว่าประโยคถูกเปิดมาด้วยคำว่า “ถ้า” … ซึ่งหากเปรียบแล้วมันก็คงเป็นดังเช่น “เหตุ … ที่ถูกสมมุติขึ้น” ดังนั้น “ผล … ที่เกิดจากเหตุ (แม้จะเป็นสมมุติก็ตาม)” จะต้องมีหรือเกิดขึ้นตามมา … เนื้อเพลง “If” ถูกประพันธ์ขึ้นด้วยการใช้คำว่า “If” เป็นตัวกำหนดเหตุในลักษณะสมมุติขึ้น ไม่เพียงแค่ในท่อนเปิดประโยคแรกของเพลงเท่านั้น แต่ใช้รูปแบบสมมุตินี้แทบตลอดทั้งเพลง … แม้จะไม่ได้เข้าใจหรือรู้เรื่องของฉันทลักษณ์สำหรับกวีนิพนธ์ที่เป็นภาษาอังกฤษเลย (ลำพังฉันทลักษณ์ของกวีนิพนธ์ภาษาไทยพวก กาพย์ โครง กลอน ก็ไม่ได้เอาอ่าวอยู่แล้ว) แต่มันรู้สึกได้ถึงการพรรณนาเรื่องราวอย่างมีชั้นเชิงในการประพันธ์คำร้องออกมา ทั้งในความหมาย การเปรียบเปรย รวมถึงความงดงามของภาษาและคำที่นำมาใช้ (ทั้งในต้นฉบับภาษาอังกฤษหรือแม้แต่ที่แปลและเรียบเรียงออกมาเป็นภาษาไทยก็ตาม) …
น่าจะใช้คำว่า “พรรณนาโวหาร” กับเนื้อร้องของเพลงนี้ได้ และราวกับว่าบทเพลงๆ นี้ มันคือ “บทกวี” ที่ถูกนำมาร้อยเรียงสอดประสานผ่านท่วงทำนองแท้ๆ … ซึ่งในส่วนของทำนอง (melody) เพลงเอง ผู้แต่งก็แต่งออกมาได้อย่างไพเราะเพราะพริ้งมากๆ สอดรับกับการวาง progression chords อย่างสวยงามและลงตัว โดยเพลงนี้อยู่ใน key A มีการเลือกใช้ progression ที่เริ่มจาก tonic คือคอร์ด A ที่ไล่ลดเสียงลงในลักษณะที่เป็น chromatic walk down/descending ไป 2 steps และตามด้วยคอร์ด IV จากนั้นไล่ลดลงไป 1 step เป็น I - IM7 - I7 - IV - iv (A - Amaj7 -A7 - D - Dm) ซึ่งการเปลี่ยนจาก D - Dm อาจพิจารณาได้ว่าเป็นคอร์ดยืม (borrowed chord) มาจาก parallel key ก็ได้ ซึ่งจะทำให้ sound ของคอร์ดเดิม (D) ที่เคยรู้สึกสว่างๆ อยู่เปลี่ยนความรู้สึกให้ดูหม่นๆ ขึ้นด้วย minor chord (Dm) … ในท่อนแยกของเพลงที่เริ่มด้วยคอร์ด vi คือ F#m ก็ยังใช้วิธี descending chromatic chord progression ได้เป็นชุดคอร์ดคือ F#m - F#mM7 - F#m7 … ในส่วน outro เป็นการเล่นสลับ A - Bb/A (คอร์ด Bb on A) 2 ชุดก่อนจบเพลง … เหล่านี้เป็นมุมมองที่เกี่ยวเนื่องในทางทฤษฎีดนตรีที่น่าสนใจ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการสรรค์สร้างและรองรับบทเพลงที่มีท่วงทำนองอันแสนไพเราะเพลงนี้ …
ความลงตัวทั้งในส่วนของคำร้องและดนตรี ทำให้บทเพลงๆ นี้ ซึ่งมีอายุเกินกว่าครึ่งศตวรรษ ยังคงทำงาน ทำหน้าที่ของมัน ในการขับกล่อมให้สุทรียภาพในทางอารมณ์บังเกิดขึ้นกับผู้ฟัง … หากแม้แต่ฟังเพียงแค่ทำนองในลักษณะเพลงบรรเลงก็น่าจะรู้สึก “ชวนฝัน” อยู่ไม่น้อย ยิ่งถ้ามีโอกาสได้ซึมซับกับความงามทางภาษาและความหมายของคำร้องด้วยแล้วก็น่าจะยิ่งสร้างความรู้สึก “อบอุ่นในหัวใจ” ให้ได้สัมผัสมากยิ่งขึ้น
Пікірлер