“อันนี้อาจพูดง่ายๆ ว่าประชาธิปไตยก็จะเรียวแคบลง อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็จะขยายมากขึ้น แม้จะเป็นความเห็นของผมแต่มันพิสูจน์ได้จากตัวบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกดคนที่ไม่เห็นด้วยไว้แล้วบอกให้เขาไม่ส่งเสียงเลย เขาต้องการให้พื้นที่ฝั่งประชาธิปไตยขยับกลับมาให้ได้ดุลยภาพกัน ปัญหาคือแค่ไหนเป็นดุลยภาพ ตอนนี้ผมคิดว่ามองต่างกันเลย”
.
บทสนทนาระหว่าง ‘ประชาไท’ กับวรเจตน์ ภาคีรัตน์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชิ้นนี้เกิดขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคม เขาใช้เวลาวิเคราะห์คำวินิจฉัยเกือบ 3 ชั่วโมง ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้ง 10 ข้อสามารถถกเถียงกันได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่มันยังอยู่ในกรอบการสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง
นอกจากนี้ วรเจตน์ ยังกล่าวด้วยว่าปัญหาของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้คือการไม่ระบุว่าอะไรคือองค์ประกอบสำคัญของ ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ ส่งผลให้เกิดความคลุมเครือและลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ในวันข้างหน้า ทั้งยังเป็นการยืนยันว่าพระราชอำนาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งทำให้ ‘อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ ขยายพื้นที่มากขึ้น และ ‘ประชาธิปไตย’ หดแคบลง
อ่านทั้งหมดได้ที่: prachatai.com/...
#ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
Негізгі бет ประชาธิปไตยจะหดแคบ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะขยายพื้นที่ [Full Version]
Пікірлер: 43